Singha Estate ลงทุนปรับเพิ่ม-ลดตามสถานการณ์

Singha Estate

Singha Estate กระจายเสี่ยง ตามสถานการณ์

           Singha Estate’ ทุ่มงบ 15,000 ล้านบาท ลุย 3 ธุรกิจหลัก ที่อยู่อาศัย -โรงแรม -สำนักงานเช่าพื้นที่ค้าปลีก เทน้ำหนักธุรกิจโรงแรมมากสุด 65% ส่วนธุรกิจอสังหาฯ25% แจงปี 60 เปิดตัว 3 โครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวสูงแนวราบระดับ Super Luxury มูลค่ากว่า 15,500 ล้านบาท เผยรายได้ 3ไตรมาสปี59 กวาด 1,713 ล้านบาท พร้อมวางเป้าปี 60 ยอดขาย 6,086 ล้านบาท โตจากปีก่อนหน้า 521%

            นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เป้าหมายด้านยอดขายและรายได้ของกลุ่ม สิงห์ฯ ยังคงมุ่งเน้นการสร้างรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด เพื่อให้มีรายได้ 20,000 ล้านบาทในปี 2563 โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวม 6,086 ล้านบาท เติบโตจากปี2559 กว่า 521%

            สำหรับปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม ณ 9เดือนอยู่ที่ 1,713ล้านบาท เพิ่มจากปี2558กว่า 273ล้านบาทหรือเติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 19% โดยเป็นรายได้จากกลุ่มธุรกิจ ที่อยู่อาศัย32% เป็นรายได้จากกลุ่มธุรกิจ อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก 445 ล้านบาท25%เป็นรายได้จากกลุ่มโรงแรม 43%โดยมีกำไรสุทธิรวมที่ 561 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 717%

  สำหรับ แผนธุรกิจในปี2560นี้ ยังคงเน้นการลงทุนใน3กลุ่มธุรกิจหลัก คือ

1. ธุรกิจที่อยู่อาศัยเพื่อขาย

2. ธุรกิจอาคารสำนักงานเช่าและพื้นที่ค้าปลีก

3. ธุรกิจโรงแรม

           โดยในปีนี้บริษัทมีงบในการลงทุนขยายงาน 3 ธุรกิจหลักประมาณ 14,355 ล้านบาท โดยยังใช้โมเดลธุรกิจเดิม คือการพัฒนาโครงการใหม่ เข้าซื้อกิจการ และการร่วมมือกับพันธมิตร ซึ่งในปีนี้ สิงห์ฯ ให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธุรกิจโรงแรมมากสุดโดยมีสัดส่วนการลงทุน 65% หรือใช้งบลงทุน 9,232ล้านบาท

            รองลงมาคือธุรกิจที่อยู่อาศัย ซึ่งมีสัดส่วนลงทุน25% หรือใช้งบลงทุนประมาณ 3,647ล้านบาท และธุรกิจโรงแรมมีสัดส่วนในการลงทุน 10%หรือใช้งบลงทุนประมาณ 1,476ล้านบาท โดยงบลงทุนทั้ง3ส่วนอาจมีการปรับเพิ่ม-ลดลงตามสถานการณ์ แต่จะอยู่ในวงเงินไม่เกิน15,000ล้านบาท

  โดยในส่วนของกลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัย ในปีนี้ Singha Estate จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ 3โครงการ ประกอบด้วยโครงการคือ

1. คอนโดมิเนียม THE ESSE ในโครงการ Singha Complex อโศก-เพชบุรี มูลค่า 4,500 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวปลายไตรมาสแรกของปีนี้

2. โครงการสันติบุรี เรสซิเดนซ์ เลียบทางด่วน เอกมัย-รามอินทรา บ้านเดี่ยวซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ราคาเริ่มต้น 200 ล้านบาท จำนวน 24 ยูนิต บนพื้นที่โครงการ 45-2-92ไร่ มูลค่าขายรวม 5,000 ล้านบาทจะเปิดตัวไตรมาส4

3. โครงการ Super Luxury Condo บนถนนสุขุมวิท 36 ติดบนพื้นที่โครงการ 2-2-0ไร่ มูลค่า6,000 ล้านบาทซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาส4เช่นกัน

             ขณะที่ บริษัทลูกทั้ง 2 บริษัท คือ บริษัทเนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จะเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งแนวราบและแนวสูงมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท โดยจะเน้นจับตลาดกลาง-บน ราคา 8-10ล้านบาทขึ้นไป ส่วน บริษัท ไดอิ จำกัด ซึ่งเชี่ยวชาญธุรกิจรับสร้างบ้านในปีนี้จะมีการเพิ่มแบบบ้านใหม่ 5แบบเพื่อตอบรับความต้องการลูกค้าให้มากขึ้น

           ส่วนธุรกิจโรงแรมในปีนี้จะมีการซื้อโรงแรมในใหม่ในประเทศอังกฤษเพิ่มอีก 3แห่ง ซึ่งจะทำให้ สิงห์ฯ มีพอร์ตโรงแรมในประเทศอังกฤษ และสก็อตแลนด์ทั้งสิ้น 29แห่ง หรือมีห้องพักให้บริการลูกค้ารวม3,000ห้อง จากปัจจุบันมีอยู่ 26 แห่งหรือมีห้องพักโรงแรมให้บริการรวม 2,800 ห้อง และหลังจากนี้จะชะลอการเพิ่มพอร์ตโรงแรมในประเทศอังกฤษ แล้วหันมาเพิ่มการลงทุนในประเทศไทยและในกลุ่มประเทศเอเชีย โดยวางสัดส่วนรายได้จากโรงแรมไว้ที่ 75% จากโรงแรมในไทยและเอเชีย ส่วนรายได้จากโรงแรมในต่างประเทศจะมีสัดส่วน25%

            สำหรับกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานเช่าและพื้นที่ค้าปลีก ยังเน้นการเข้าซื้ออาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกที่มีศักยภาพ โดยเน้นกลุ่มสำหนักงานเกรดเอ พรีเมี่ยม และ Lifestyle Retail โดยปัจจุบันสิงห์มีสำนักงานเช่าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างคือ โครงการ Singha Complex ซึ่งงานก่อสร้างคือหน้าไปกว่า15%แล้วคาดว่าในสิ้นปีนี้จะก่อสร้างในส่วนของอาคารสำนักงานและส่งมอบแก่บริษัทบุญรอดฯได้ทั้งหมด ขณะที่อาคาร Sun tower ขณะนี้เปิดให้ใช้พื้นที่แล้วหลัง Renovate ส่วนพื้นที่ Sun Plaza ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

 

ที่มา :  DD Property    /   ภาพ : ThinkOfLiving

Leave a Reply