เตรียมใจให้พร้อม ! ก.ย.ปีหน้า ขึ้นค่าทางด่วน แน่ๆ 5-10 บาท จากปัจจุบันจ่าย 50 บาท เผยถึงรอบคิวปรับทุก 5 ปี ตามสัมปทาน ประธานบอร์ด กทพ.ฟันธงเกิดข้อพิพาทกับ BEM เรื่องการปัดเศษขึ้น–ลง เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เร่งหาข้อสรุปต่อสัมปทานให้จบโดยเร็ว ก่อนสิ้นสุด ก.พ.ปี’63 ยึดกฎหมายและสัญญาเป็นหลัก
พล.อ.วิวรรธน์ สุชาติ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า ในปี 2561 จะครบกำหนดปรับค่าผ่านทางตามสัญญาสัมปทานที่ทำไว้กับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้รับสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 1(เฉลิมมหานคร) และขั้นที่ 2 (ศรีรัช) ระยะเวลา 30 ปี จะมีการพิจารณาปรับ ขึ้นค่าทางด่วน ขึ้นทุก 5 ปี ตามดัชนีผู้บริโภค (CPI)
คงต้องปรับแน่ ๆ เพราะถึงรอบคิวตามสัญญา แต่จะปรับเท่าไหร่เท่านั้นเอง อยู่ที่ CPI ซึ่งครั้งนี้จะเป็นรอบสุดท้ายแล้ว เพราะสัญญาสัมปทานจะสิ้นสุดในปี 2563
สำหรับปัญหาเรื่องการพิจารณาปรับเศษค่าผ่านทางที่ทั้ง กทพ. และ BEM มองต่างกันมาตลอดเรื่องการปัดเศษขึ้นหรือลงจนเกิดเป็นข้อพิพาทกันมานั้น พล.อ.วิวรรธน์ กล่าวว่า มีความเป็นได้สูงที่การปรับค่าผ่านทางในปี 2561 นี้จะเกิดปัญหาเหมือนเดิม เนื่องจากต่างฝ่ายมีความเห็นไปคนละทาง ซึ่งฝ่าย กทพ.ก็ยึดแนวทางของอัยการสูงสุด
เอกชนต้องเสนอมา ที่ผ่านมาก็ฟ้องกันไปมา รอบนี้ก็คงเหมือนเดิม เพราะมีการปรับเศษคนละแบบ แบบเดิมชี้คนละแบบ ฝั่งเราอัยการบอกให้ทำอย่างนี้ ฝั่งโน่นสัญญาบอกให้ทำอย่างนี้ให้ทำไง ในเมื่อพอให้เจรจาตกลงไม่ยอมผมไม่รู้ทำไงต้องปล่อยไป ถ้าเป็นผมมีโอกาสในเมื่อมีข้อพิพาท ความเห็นต่าง ตามอัยการของเก่า เราก็รู้ว่ามีการฟ้องร้องทำไม ไม่เอาส่วนต่างไปกองไว้ตรงกลาง ส่วนที่เห็นต่าง เพื่อว่าใครตัดสินซ้ายขวา จะได้มีตังค์
การปรับค่าผ่านทางด่วนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 จะครบกำหนดวันที่ 1 ก.ย. 2561 ตามสัญญาสัมปทานที่ทำไว้กับ BEM จะปรับขึ้นทุก 5 ปี ตามค่า CPI ซึ่งที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ 5-10 บาท
สำหรับอัตราค่าผ่านทางปัจจุบันปรับขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2556 ได้แก่ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1) รถ 4 ล้อ 50 บาท รถ 6-10 ล้อ 75 บาท มากกว่า 10 ล้อ 110 บาท ส่วนทางพิเศษศรีรัช ส่วน C รถ 4 ล้อ 15 บาท รถ 6-10 ล้อ 20 บาท มากกว่า 10 ล้อ 35 บาท ส่วน D รถ 4 ล้อ 25 บาท รถ 6-10 ล้อ 55 บาท มากกว่า 10 ล้อ 75 บาท
ขณะเดียวกันจะมีทางด่วนอุดรรัถยา (บางปะอิน–ปากเกร็ด) ที่ BEM รับสัมปทานและมีรายได้ค่าผ่านทาง 100% จะครบกำหนดวันที่ 1 พ.ย. 2561 จากปัจจุบันช่วงแจ้งวัฒนะ–เชียงราก รถ 4 ล้อ 45 บาท รถ 6-10 ล้อ100 บาท มากกว่า 10 ล้อ 150 บาท และช่วงเชียงราก–บางไทร รถ 4 ล้อ 10 บาท รถ 6-10 ล้อ 20 บาท มากกว่า 10 ล้อ 30 บาท
นอกจากนี้ พล.อ.วิวรรธน์ ยังกล่าวถึงแนวทางการบริหารจัดการโครงการทางด่วนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 หลังสัญญาสัมปทานสิ้นสุดวันที่ 28 ก.พ. 2563 ว่า ในหลักการต้องปฏิบัติตามกฎหมายรอการตีความจะต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนปี 2556 หรือไม่ เนื่องจากโครงการดำเนินการก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้และสัญญาสัมปทาน ขณะนี้ กทพ.อยู่ระหว่างศึกษามี 3 แนวทาง คือ
1.ต่อสัญญาสัมปทานให้กับ BEM
2.เปิดประมูลใหม่
3.กทพ.บริหารจัดการเอง เนื่องจากโครงการตกเป็นของ กทพ.แล้ว
คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน ต.ค.-พ.ย. 2560 นี้
หลักมีอยู่แค่นี้ เบี้ยวไม่ได้ แต่ยังพอมีเวลาเพราะสัญญาจะสิ้นสุดปี 2563 ยังไม่รู้จะได้ข้อสรุปในยุคผมหรือเปล่า แต่ผมจะทำให้เสร็จก่อนหมดวาระ ตามกฎหมายร่วมทุนบอกให้องค์กรอิสระทำข้อพิจารณาเสนอไป แต่มีอีกข้อหนึ่งในสัญญาว่าเมื่อหมดสัญญาสัมปทานต้องเจรจา ก็ต้องเจรจาได้ไม่ได้ค่อยว่ากัน ตอนนี้ยังไม่เริ่มเจรจา เพราะยังไม่หมดสัญญา ใครจะเจรจา เป็น กทพ.เจ้าของสัญญา หรือให้คณะกรรมการตามกฎหมายร่วมทุนก็ต้องมาดูกัน
ยังไงต้องเจรจากับเอกชน เพราะเป็นสัญญาสัมปทาน เมื่อหมดแล้วต้องคุยผลประโยชน์ตอบแทนกันใหม่ แม้สัญญาจะเขียนไว้ อาจต่อ 2 ครั้ง ครั้งละ 10 ปีก็ตาม เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว จะต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณา ปีนี้ยังไงก็ต้องรู้แนวทางที่แน่ชัด กทพ.จะเดินหน้ายังไง เรื่องนี้ก็ล่าช้ามานาน จริง ๆ ตามกฎหมายร่วมทุนใหม่ให้ดำเนินการก่อนครบสัมปทาน 5 ปี แต่เราเพิ่งจ้างที่ปรึกษาเมื่อปลายปีที่แล้ว
ปัจจุบัน กทพ. ได้รับส่วนแบ่งรายได้อยู่ที่ 60% และ BEM ได้รับอยู่ที่ 40% จนครบกำหนดอายุสัญญา ทั้งนี้หาก กทพ.เป็นผู้ดำเนินการเอง จะทำให้มีรายได้ค่าผ่านทางเพิ่มขึ้น จากปัจจุบัน กทพ.มีรายได้อยู่ที่ประมาณ17,193.29 ล้านบาท มีรายจ่าย 9,872.63 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 7,320.66 ล้านบาท ส่วนปริมาณการจราจรบนทางด่วนทั้งโครงข่ายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.8 ล้านเที่ยว