ดูแลบ้าน ให้ดีต่อสุขภาพ ปลอดเชื้อโรค

ท่ามกลางการระบาดของโคโรน่า ไวรัส (โควิด-19) รวมถึงฝุ่น PM 2.5 ทำให้หลาย ๆ ท่าน หันมานใจในเรื่องของสุขอนามัยกันมากขึ้น วั้นนี้เราจะมาแนะนำการ ดูแลบ้าน ให้อยู่อาศัยแล้วมีความสุข ดีต่อสุขภาพทั้งกายและใจ ปลอดเชื้อโรค

ดูแลบ้าน
นอกจากการตกแต่งบ้านให้มีชีวิตชีวาแล้ว การรักษาความสะอาดภายในบ้านอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าหลายคนอาจไม่มีเวลา หรืออาจเข้าใจว่า อยู่ในห้องกระจก เปิดแอร์แล้วปิดประตู  จะไม่มีฝุ่นละอองเข้าไป แต่อย่างไรฝุ่นขนาดเล็ก ไรฝุ่น ย่อมเกิดขึ้นได้ หากเกิดการหมักหมม อากาศถ่ายเทไม่สะดวก รวมถึงแสงธรรมชาติส่องไม่ถึงภายในบ้าน

อีกสิ่งที่ลืมไม่ได้เลยคือที่นอนหมอนผ้าหุ่ม ที่สำคัญหลายบ้านมักนิยมการใช้พรมปูภายในบ้าน ห้องนอน มุมพักผ่อน ทิ้งไว้นานหลายปี ทำความสะอาดที ต้องใช้เครื่องดูดฝุ่นหรือไม่ก็ละเลย เพราะมองว่าอยู่ในห้องแอร์ ไม่น่าจะมีฝุ่นทะลุเข้ามา แต่ต้องเข้าใจว่าพรมนี่แหละ แหล่งเพาะเชื้อโรคอย่างดีที่เรามองไม่เห็น ขณะเดียวกันหากบ้านใครมีสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าสุนัข แมว กระต่าย นก และอื่นๆ มองว่า สามารถเป็นพาหะพาเชื้อโรค มาถึงคุณ แม้จะบอกว่าสัตว์เลี้ยงแสนรัก ดูแลอย่างดีสะอาดแน่นอนก็ตาม

ขณะเดียวกันการรับประทานอาหาร ไม่ควรทิ้งเศษอาหารทิ้งไว้ข้ามคืน นั่นหมายถึงการล้างถ้วยชามเครื่องครัว รวมถึงการนำขยะไปทิ้งภายนอกทุกครั้ง ป้องกันหนู แมลงสาบ เข้ามากลายเป็นพาหะนำโรค

ดูแลบ้าน 2

นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ แนะแนวทางการรักษาความสะอาดภายในบ้านแบบง่าย ๆ ว่า ควรนำเครื่องนอนออกไปโดนแสงแดดทุก 15 วัน, เปิดหน้าต่างให้แสงแดดส่องเข้ามาในห้อง, ทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศแอร์ ใบพัดลม และพรมทุกสัปดาห์, กรณีแพ้ขนสุนัขหรือขนแมวให้หลีกเลี่ยงการสัมผัส ทำความสะอาดบ้านเรือนให้สะอาด ไม่อับชื้น ปราศจากเศษอาหาร เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ควรมองข้าม เพราะ อาจลุกลามกลายเป็น เรื่องใหญ่ที่แก้ยาก และเมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 แน่นอนว่า ต้องเพิ่มความมั่นใจว่า ภายในบ้าน คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด แม้จะมีเวลาพักผ่อนน้อยก็ตาม นั่นคือ คือการรักษาความสะอาดสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน โดยเฉพาะในปัจจุบันที่การตกแต่งบ้านด้วยพรมเป็นที่นิยมและมีการใช้เครื่องปรับอากาศเป็นประจำ ทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เชื้อไรฝุ่นจึงเจริญเติบโตได้ดี รวมถึงการนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน ส่งผลให้สมาชิกในครอบครัวมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่าย

แม้ปัจจุบัน มีนวัตกรรมทุ่นแรงเพื่อสุขภาพเกิดขึ้นมากในท้องตลาดหลายแบรนด์ซึ่งสถิติสมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทยพบว่า เด็กไทยกว่า 38% ผู้ใหญ่ กว่า 20% เป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึง 3-4 เท่า เมื่อเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา

หมอสุพรรณ กล่าวต่อว่าโรคภูมิแพ้เกิดจากการตอบสนองของร่างกายมีความผิดปกติต่อสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น ไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ อาหาร ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ ทำให้อวัยวะที่สัมผัสมีอาการผิดปกติ เช่น การจาม คันจมูก คันเพดานปากหรือคอ นํ้ามูกไหล ในบางรายที่มีอาการแพ้รุนแรง อาจมีอาการไอ แน่นหน้าอก หอบ หายใจขัดหรือหายใจเร็ว มีอาการคันบริเวณผิวหนัง มีผดผื่นแดงตามตัว ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว ดังนั้น การหลีกเลี่ยงโรคภูมิแพ้ ควรเริ่มจากการรักษาสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้สะอาด

การมีสุขภาพที่ดี ต้องเริ่มที่บ้าน หากละเลยมองข้าม เท่ากับคุณทำร้ายตัวเอง !!

หน้า 18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,581 วันที่ 7 – 10 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ติดตามอัพเดทข่าวสารในวงการอสังหาฯ ทั้งหมดได้ที่
www.propertyinsight.co

Leave a Reply